ประวัติลีลาศในประเทศไทย
การลีลาศในประเทศไทยเกิดขึ้นเมื่อใดนั้นไม่มีหลักฐานยืนยันได้แน่ชัด สันนิษฐานกันว่าได้เผยแพร่เข้ามาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จุลศักราช 1226 โดยชาวต่างชาติจากบันทึกของแหม่มแอนนาทำให้มีหลักฐานเชื่อได้ว่า เมืองไทยมีคนลีลาศเป็นมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 และบุคคลที่ได้รับการยกย่องให้เป็นนักลีลาศคนแรกก็คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั่นเอง ตามบันทึกของแหม่มแอนนาเล่าว่า แหม่มแอนนาพยายามสอนพระองค์ท่านให้รู้จักวิธีการเต้นรำแบบสุภาพ ซึ่งเป็นที่นิยมของชาติตะวันตก หลังจากที่ได้ดูละครซึ่งแสดงกันในวังแล้วก็เลยมาคุยกันถึงเรื่องการเต้นรำ พร้อมกับแสดงท่าบอกจังหวะวอลทซ์นั้นหรูมาก เขาเต้นกันในวังยุโรป เต้นอย่างนี้ พระองค์ท่านก็ฟังอยู่เฉยๆ ไม่ออกความเห็นอย่างไร แต่พอแหม่มแอนนางงไปเลย ทูลถามว่าใครเป็นคนสอนให้พระองค์ท่านก็ไม่ตอบ จึงไม่รู้ว่าใครเป็นผู้สอนพระองค์ สันนิษฐานกันว่าพระองค์ท่านคงจะศึกษาจากตำราด้วยพระองค์เอง
ในสมัยรัชกาลที่ 5 การเต้นรำยังไม่เป็นที่นิยมกว้างขวางนัก คงมีแต่เจ้านายในวังบางวังเต้นรำกันพอเป็น ส่วนใหญ่มักจะเต้นจังหวะวอลทซ์เพียงอย่างเดียว และบางครั้งก็เอาการเต้นรำจังหวะวอลทซ์ไปสอดแทรกในการแสดงละครด้วย เช่น เรื่องพระอภัยมณีตอนที่กล่าวถึงนางละเวงได้กับพระอภัยมณี
ในสมัยรัชกาลที่ 6 ทุกปีที่มีงานเฉลิมพระชนมพรรษาก็จะจัดให้มีการเต้นรำขึ้นในพระบรมมหาราชวัง โดยมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นประธาน ซึ่งบรรดาทูตานุฑูตทั้งหลายต้องเข้าเฝ้า ส่วนแขกที่จะไปร่วมงานได้ต้องได้รับบัตรเชิญเท่านั้นจึงจะเข้าไปร่วมงานได้
ในสมัยรัชการที่ 7 การลีลาศได้รับความนิยมมากขึ้นจนเกิดมีสถานที่ลีลาศขึ้นหลายแห่ง เช่น ห้อยเทียนเหลา เก้าชั้นคาเธ่ย์และโลลิต้าเป็นต้น
ในปี ค.ศ.2475 นายหยิบ ณ นคร ซึ่งได้มีโอกาศเดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ เมื่อปี พ.ศ.2459 และได้ศึกษาวิชาลีลาศไปด้วย ได้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย โดยได้เข้าร่วมแข่งขันลีลาศชิงแชมป์เปี้ยนภาคเหนือของลอนดอน และได้รับชัยชนะในจังหวะฟอกซ์ทร็อต และวอลทซ์ ได้ร่วมกับหม่อมเจ้าวรรณไวทยากร วรวรรณ จัดตั้งสมาคมเกี่ยวกับการเต้นรำขึ้น โดยใช้ชื่อว่า “สมาคมสมัครเล่นเต้นรำ” มีหม่อมเจ้าวรรณไวทยากร วรวรรณ เป็นนายกสมาคม นายหยิบ ณ นคร เป็นเลขาธิการสมาคม สำหรับกรรมการสมาคมก็ล้วนแต่เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ได้แก่ หลวงเฉลิมสุนทรกาญจน์ พระยาปกิตกลสาร พระยาวิชิต นายแพทย์เติม บุนนาค หลวงสุขุมนัยประดิษฐ์ และหลวงชาติตระการโกศล สำหรับสถานที่ตั้งสมาคมนั้นไม่แน่นอน วนเวียนไปตามบ้านสมาชิกแล้วแต่สะดวก การตั้งเป็นสมาคมนี้ ไม่ได้จดทะเบียนให้เป็นที่ถูกต้องแต่อย่างใด สมาชิกของสมาคมส่วนมากเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่มักพาลูกของตนมาเต้นรำด้วย ทำให้มีสมาชิกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีการจัดงานเต้นรำขึ้นบ่อยๆ ที่สมาคมคณะราษฎร์และวังสราญรมย์ และที่วังสราญรมย์นี้เป็นสถานที่ที่จัดให้มีการแข่งขันเต้นรำขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งผู้ชนะเลิศเป็นแชมเปี้ยนคู่แรก คือ พลเรือตรีเฉียบ แสงชูโต และประนอม สุขุม
ระหว่างปี พ.ศ.2475-2476 มีนักศึกษากลุ่มหนึ่งเรียกสมาคมสมัครเล่นเต้นรำว่าสมาคม...(คำผวนของคำว่าเต้นรำ) ซึ่งฟังดูแล้วไม่ไพเราะหู ดังนั้นหม่อมเจ้าวรรณไวทยากร วรวรรณ จึงบัญญัติศัพท์คำว่า “ลีลาศ” ขึ้นแทนคำว่า “เต้นรำ” ต่อมาสมาคมสมัครเล่นเต้นรำก็สลายตัวไป แต่ก็ยังมีการชุมนุมกันของครูลีลาศอยู่เสมอ โดยมีนายหยิบ ณ นคร เป็นผู้ประสานงาน โดยเฉพาะในการส่งนักลีลาศของไทยไปแข่งขันยังต่างประเทศ รวมทั้งให้การต้อนรับนักลีลาศชาวต่างประเทศที่มาเยี่ยมหรือมาแข่งขันในเมืองไทย
การลีลาศซบเซาลงไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งไทยเป็นประเทศหนึ่งที่เข้าร่วมในสงครามโลกครั้งนี้ด้วย จนกระทั่งสงครามสงบลงในเดือนกันยายน พ.ศ.2488 วงการลีลาศของไทยก็เริ่มฟื้นตัวขึ้น มีโรงเรียนสอนลีลาศเกิดขึ้นหลายแห่ง โดยเฉพาะสาขาบอลรูมสมัยใหม่ (MODERN BALLROOM BRANCH) ที่อาจารย์ยอด บุรี ซึ่งไปศึกษาที่ประเทศอังกฤษได้นำมาเผยแพร่ ทำให้การลีลาศซึ่งศาสตราจารย์ศุภชัย วานิชวัฒนา เป็นผู้นำอยู่ก่อนแล้ว เจริญขึ้นเป็นลำดับ
ต่อมาได้มีบุคคลชั้นนำในการลีลาศซึ่งเคยเป็นผู้ชนะเลิศสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อาทิ อุไร โทณวณิก , กวี กรโกวิท , จำลอง มาณยมณฑล , ปัตตานะ เหมะสุจิ และนายแพทย์ประสบ วรมิศร์ ได้หารือกันถึงแนวความคิดที่จะรวมนักลีลาศทั้งหมดให้อยู่ในสมาคมเดียวกัน เพื่อเป็นการผนึกกำลัง และช่วยกันปรับปรุงมาตรฐานการลีลาศทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ ซึ่งทุกคนเห็นชอบร่วมกัน จึงมีการร่างระเบียบข้อบังคับขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการลีลาศให้มีแบบแผนขึ้น ผดุงไว้ซึ่งวัฒนธรรมและมารยาท ในการเข้าสังคมแบบสุภาพชน และได้ยื่นจดทะเบียนเป็นสมาคมตามกฎหมายเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2491 ซึ่งสภาวัฒนธรรมแห่งชาติได้อนุญาตให้จัดตั้ง “สมาคมลีลาศแห่งประเทศไทย” เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2491 โดยหลวงประพันธ์ไพรัชภาค เลขาธิการสภาวัฒนธรรมในขณะนั้นเป็นผู้ทำพิธีเปิดสมาคมฯ อย่างเป็นทางการ และมีหลวงประกอบนิติสาร เป็นนายกสมาคมคนแรก ซึ่งปัจจุบันสมาคมลีลาศแห่งประเทศไทยเป็นสมาชิกของสภาการลีลาศนานาชาติ ด้วยประเทศหนึ่ง
หลังจากนั้นการลีลาศในประเทศไทยก็เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย โดยจัดให้มีการแข่งขันมากยิ่งขึ้น มีสถานลีลาศเปิดเพิ่มขึ้นมาก ประชาชนสนใจเรียนลีลาศเพิ่มขึ้น มีการจัดตั้งสมาคมครูลีลาศขึ้นสำหรับเปิดสอนลีลาศ ทั้งยังได้จัดส่งนักลีลาศไปแข่งขันในต่างประเทศและจัดแข่งขันลีลาศนานาชาติขึ้นในประเทศไทย ในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้กำหนดให้โรงเรียนสอนลีลาศต่างๆ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ และมีการกำหนดหลักสูตรลีลาศขึ้นอย่างเป็นแบบแผน ทำให้การลีลาศมีมาตรฐานยิ่งขึ้น ปัจจุบันการลีลาศในประเทศไทยได้เป็นที่ยอมรับและนิยมในทุกวงการทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ประชาชนให้ความสนใจ มีโรงเรียนหรือสถาบันเปิดสอนลีลาศขึ้นเกือบทุกจังหวัด ในสถานศึกษาตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษา จนถึงระดับอุดมศึกษาก็ได้บรรจุวิชาลีลาศเข้าไว้ในหลักสูตรการเรียนการสอนด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น